เลือดจระเข้คืออะไร


เลือดจระเข้

        ทุกคนเคยสังเกตไหมว่า... สัตว์ทุกชนิดเมื่อเกิดบาดแผลขึ้นไม่ว่าบาดแผลนั้นจะเกิดจากสาเหตุใด หากเป็นบาดแผลไม่ลึกหรือกว้างมากเกินไป แผลนั้นจะสมานได้ด้วยตัวเองเหมือนกับกับคนเรา ด้วยการทำงานของเลือดและเกล็ดเลือด แต่หากเกิดแผลลึกมาก เนื่องจากการกัดกันเองของสัตว์ในกลุ่ม หรือถูกกัดจากสัตว์อื่นจนเสียเลือดมาก และเกล็ดเลือดไม่สามารถอุดกั้นจนหยุดการไหลของเลือดได้ สัตว์เหล่านั้นก็จะเสียชีวิตในที่สุด เช่นเดียวกับคนที่ต้องเสียชีวิต เพราะเสียเลือดมากและไปโรงพยาบาลไม่ทันกาล

          ซึ่งจะต่างกันตรงที่ เมื่อเรามีวิทยาศาสตตร์การแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ เช่น การเย็บแผล การผ่าตัด การใช้ยาฆ่าเชื้อ การถ่ายเลือดให้กัน ฯลฯ เราจึงสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้นั่นเอง และเราสังเกตได้ว่าเมื่อจระเข้กัดกันเองจนเกิดแผลขนาดใหญ่จนไม่น่ามีชีวิตรอดได้ แต่ในที่สุดจระเข้จะกลับสามารถมีชีวิตรอดได้ และแผลสมานกันได้เป็นปกติทั้งๆที่จระเข้ที่บาดเจ็บแช่อยู่ในน้ำที่มีจระเข้รวมตัวกันอยู่มากมายก็ตาม ทั้งยังมีเชื้อโรคมากมายจากในน้ำและอากาศซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อได้ด้วย แต่พอเวลาผ่านไปไม่ถึง 1 สัปดาห์ แผลเหวอะหวะนั้นกลับสมานกันจนหายดีและไม่ติดเชื้อใดๆเลย เพียงแค่จระเข้นอนพักฟื้นและรักษาเยียวยาบาดแผลตามธรรมชาติด้วยตัวมันเอง

         แสดงให้เห็นว่า เลือดจระเข้ต้องมีความพิเศษ ซึ่งมีงานวิจัยพบว่า เลือดจระเข้มี สารต้านจุลชีพ (Anti-microbial peptides) อยู่ในน้ำเลือด ซึ่งน่าจะเป็นโปรตีนคอมพลีเม้นต์ (Complements) กล่าวคือ เป็นโปรตีนสายสั้นๆที่เป็นส่วนหนึ่งของภูมิต้านทานในสัตว์ มีสรรพคุณในการทำลายแบคทีเรียสูงอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันที่มีมาแต่กำเนิดของจระเข้ ซึ่งในเวลาต่อมาพบว่า นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันได้ค้นพบสารตัวเดียวกันนี้ในเลือดจระเข้สายพันธุ์อเมริกันเช่นเดียวกัน

 

กว่าจะเป็นเลือดจระเข้แคปซูล

             จากการเจาะเลือดของมนุษย์นั้นสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการเจาะเก็บเลือดจระเข้ โดยใช้เข็มเจาะเลือดประกอบกระบอกฉีดยา (syring) ตามวิธีที่ทางการแพทย์ใช้ แต่จระเข้เป็นสัตว์ที่มีหนังหนาและแข็ง จึงจำเป็นต้องใช้เข็มและกระบอกฉีดยาหลายขนาดเพื่อให้สามารถเก็บเลือดจระเข้ได้ตามปริมาณที่ต้องการ ขณะเดียวกัน เข็มที่เจาะต้องมีคุณสมบัติพิเศษในเรื่องความแข็งแรง รวมทั้งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้ปฏิบัติงานด้วย แต่เลือดที่ได้ยังไม่สะอาดพอ จึงมีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนในที่สุดได้คิดค้นและประดิษฐ์ "อุปกรณ์เจาะเก็บเลือดจระเข้ได้ในปริมาณมาก" และ "เข็มเจาะเลือดจระเข้" ขึ้นมา

             และเมื่อเราได้เลือดจระเข้ที่เป็นวัตถุดิบต้นทางที่มีความสะอาดปลอดภัยและปราศจากสิ่งปนเปื้อนแล้ว กระบวนการต่อไปคือ ผลิตให้ได้มาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ และคงคุณค่าของสารสำคัญต่างๆในเลือดจระเข้ให้คงอยู่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภคให้มากที่สุด จึงได้เลือกวิธีการทำเลือดจระเข้แห้งด้วยกระบวนการระเหิดแห้งภายใต้ความเย็นจัด (ฟรีซดราย, Freeze Drying) ซึ่งไม่ทำให้โปรตีนในเลือดจระเข้เสียคุณสมบัติ จึงค่อยนำมาทำให้เป็นผงโดยอุปกรณ์ที่สะอาดภายใต้สภาวะปลอดเชื้อ และนำมาบรรจุแคปซูล ภายใต้เเบรนด์ "เลือดจระเข้ วินน์"

 

เลือดจระเข้แคปซูลเหมาะกับใคร?

เลือดจระเข้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับเลือดและระบบเลือด ผู้ป่วยโลหิตจาง ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ผู้ป่วยในระยะพักฟื้นและบุคคลทั่วไปที่ใส่ใจการบำรุงร่างกาย ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญที่โดดเด่นและแตกต่างจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ คือ

  • มีเปปไทด์ต้านจุลชีพ (Anti-microbial Peptide) มีคุณสมบัติพิเศษในการกำจัดแบคทีเรียและไวรัสที่เข้าไปช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

  • มีสารคล้ายอินซูลินหรือ Insulin-like Growth Factor ซึ่งมีคุณสบัติช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดได้

  • มีโปรตีนเป็นองค์ประกอบมากที่สุด เสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เหนื่อยง่าย ร่างกายฟื้นตัวเร็ว เป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการช่วยสร้างเลือด

  • อุดมไปด้วยเกลือแร่ที่สำคัญ 5 ชนิด คือ ธาตุเหล็ก เเคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และโซเดียม ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ และมีภาวะโลหิตจาง 

  • มีวิตามินสำคัญ 5 ชนิด คือ วิตามิน A, B1, B2, B6 และ B12 ช่วยในการสร้างกระดูก การทำงานของระบบประสาท ช่วยในการมองเห็น ไม่เหนื่อยง่าย บำรุงผิว